เมื่อ : 12 เม.ย. 2567
โครงการพัฒนากลุ่มแปลงใหญ่กล้วยหอมทอง ตำบลนพรัตน์ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี โดยคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ โครงการชุมชนดีมีรอยยิ้ม และ โครงการ eisa (Education Institute Support Activity) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจจำกัด (มหาชน)

พื้นที่อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เป็นทำเลทองของการปลูกกล้วยหอมเพื่อการส่งออกรายใหญ่ของไทย เนื่องจากมีพื้นที่ปลูกกล้วยหอมถึง 14000 ไร่ กล้วยหอมทองที่ปลูกในพื้นทีแห่งนี้ ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพดี รสชาติอร่อย ถูกใจผู้บริโภค เพาะปลูกในแหล่งดินเหนียวที่มีแหล่งน้ำชลประทานทั่วถึง มีการดูแลจัดการสวนอย่างเป็นระบบ ทำให้กล้วยหอมที่ปลูกได้สามารถส่งออกไปขายถึงประเทศญี่ปุ่น 

ในปี 2558 

 

เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอมทองในพื้นที่ตำบลนพรัตน์ อำเภอหนองเสือ ภายใต้การนำของ คุณนุกุล นามปราศัย ได้รวมตัวกันจดทะเบียนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกล้วยหอมทองปทุมรัตน์ เพื่อผลิตกล้วยหอมทองและจำหน่ายผลผลิตเข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ 

ดังนั้นจุดเริ่มต้นของหอมนอกกรอบ มาจากกลุ่มสตรีนพรัตน์ที่มีไอเดียในการแปรรูปกล้วยหอมทอง เพื่อเพิ่มมูลค่าและเป็นการสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน ทำให้ทดลองทอดกล้วยหอม และคิดค้นสูตรร่วมกับกลุ่มสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) อำเภอหนองเสือ ท้ายที่สุดจึงได้ผลลัพธ์ในการทดลองทอดกล้วยที่อร่อยกลมกล่อม จนเป็นที่มาของสินค้ากล้วยทอดกรอบที่ชื่อว่า “หอมนอกกรอบ”

 

จากการลงพื้นที่ของนิสิตคณะบริหารธุรกิจ คณะเศรษฐศาสตร์ และคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เริ่มต้นจากการสำรวจ ศึกษา และวิจัยตลอดระยะเวลา 3 เดือน ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกล้วยหอมทองปทุมรัตน์และกลุ่มสตรีนพรัตน์ ทำให้ได้ข้อมูลเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “หอมนอกกรอบ” ดังนี้

 

ในแต่ละกลุ่มมีการลงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือนหรือ 10 สัปดาห์ เริ่มจากการวางแผนและวิเคราะห์ปัญหา ตามด้วยวิธีการทำงานหรือกระบวนการในการดำเนินงานแต่ละขั้นตอนของแต่ละกลุ่ม ต่อจากนั้นก็จะมีการติดตามผลการดำเนินงาน และประเมินผลตาม KPI และปิดท้ายด้วยการนำเสนอผลงานเสนอแนะแก่ชุมชน นอกจากนี้ในขั้นตอนการดำเนินงาน บางขั้นตอนของแต่ละกลุ่มอาจใช้ระยะเวลาดำเนินการนานมากกว่า 3 เดือน ก็จะมีวิธีการแจ้งให้ไว้ว่าชุมชนควรดำเนินการอย่างไรและวัดผลอย่างไร

จุดแข็งของผลิตภัณฑ์

 

พี้นที่ปลูกกล้วยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) โดยจังหวัดปทุมธานีเป็นทำเลทองของการปลูกกล้วยหอม โดยกล้วยหอมทองที่ปลูกในพื้นที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพดีรสชาติอร่อย ถูกใจผู้บริโภค เพราะปลูกในแหล่งดินเหนียวที่มีแหล่งน้ำชลประทานทั่วถึง

กล้วยที่นำมาใช้แปรรูปนั้นได้มาจากกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอมทองในพื้นที่ เป็นกล้วยที่ตกเกรด จึงเป็นการลดปริมาณการทิ้งและใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งกระบวนการผลิตที่ไม่ใช้น้ำมันซ้ำในการทอดและไม่มีการใส่สารกันบูดในตัวผลิตภัณฑ์  เป็นการกระจายรายได้ให้แก่ชาวบ้านในชุมชน

นอกจากนี้แล้วตลาดของสินค้าจำพวกขนมแปรรูปในปัจจุบันได้รับความนิยมสูงจากกลุ่มผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดในประเทศจีน หรือตลาดตะวันออกลาง แสดงให้เห็นได้จากการลิสต์การส่งออกครึ่งปีแรกของไทยในปี 2566

 

จุดอ่อนของผลิตภัณฑ์

การปลูกกล้วยหอมมีการใช้สารเคมี ถึงจะไม่มากโดยใช้เพียงในระยะเริ่มต้น แต่สามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะพื้นดินบริเวณที่เพาะปลูกหรือสุขภาพของเกษตรกร  และอาจนำไปสู่การสูญเสียกลุ่มลูกค้าที่สำคัญในอนาคตได้ เนื่องจากโลกปัจจุบันกำลังอยู่ในเทรนด์การปลูกพืชผักแบบออร์แกนิค

 

สินค้าไม่มี อย. เครื่องหมายที่แสดงให้ผู้บริโภคทราบว่า ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ และความปลอดภัย ถูกต้องตรงตามมาตรฐานเกณฑ์การผลิต หรือการนำเข้าจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการปกป้อง และคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้ไม่สามารถสร้างฐานความเชื่อมั่นจากลูกค้าได้ 

 

การใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีราคาสูง มีน้ำหนักที่มากไม่เหมาะกับการขนส่ง ทำให้เกิดปัญหาต้นทุนสูง อีกทั้งยังไม่มีการจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายที่มีมาตรฐาน ทำให้ไม่สามารถตั้งราคาที่เหมาะสมได้

 

ปัจจุบันมีผลไม้แปรรูปเป็นที่นิยมและมีชื่อเสียงอยู่แล้วในตลาดมากมาย หลายชนิด อาทิเช่น ทุเรียน สตอเบอรี่ องุ่น กล้วย จึงทำให้มีการแข่งขันในอัตราที่สูง คู่แข่งในตลาดแยะ อีกทั้งช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้ายังไม่ทั่วถึงเพียงพอ จึงทำให้ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ยอดขายได้ 

ดังนั้นทางกลุ่มนักศึกษาและอาจารย์จึงมีข้อแนะนำให้แก่ชุมชนตั้งแต่เรื่องของการปลูกกล้วยที่เป็นแบบออร์แกนิค เป็นเทรนด์ที่กลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อให้ความนิยมเป็นอย่างมาก การปรับปรุงในเรื่องบรรจุภัณฑ์ (Packaging) ที่ราคาไม่แพง น้ำหนักเบา และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน

 

การให้ความรู้และข้อมูลด้านการตลาด โดยเพิ่มช่องทางการจัดหน่าย ใช้ช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น อาทิ Facebook Line official TikTok Instagram หรือการขายผ่านตลาด e-commerce เช่น Shopee Lazada และเพิ่มการทำ Digital Marketing โดยยิงแอดสินค้าโดยผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ จัดทำโปรโมชัน ตลอดจนการเพิ่มรสชาติสินค้าให้มีความหลายหลายมากขึ้น 

 

การให้ข้อมูลเชิงลึกในการทำการตลาดต่างประเทศ จีน ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชากร เศรษฐกิจ การเมือง สังคม กฏหมาย สภาพแวดล้อม สภาพการตลาดในประเทศนั้น ๆ เทคนิคทางด้านการซื้อขาย และการขนส่ง เป็นต้น

รองศาสตราจารย์ ดร.พรลภัส สุวรรณรัตน์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยได้มีการส่งเสริมการศึกษาในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งวิชานี้เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการจัดการเพื่อความยั่งยืนของชุมชน  มีการเทรนนิ่งในเรื่องการบริหารจัดการ การวางแผนการตลาด การส่งออก การค้าการลงทุนระหว่างประเทศ เพราะสินค้ามีผลิตได้มาถึงจุดหนึ่งแล้วที่เหมาะสมก็จะต้องมองหาตลาดต่างประเทศ เพื่อการเจริญเติบโตทางธุรกิจ ครบทั้งวงจร 

 

อีกทั้งปรัชญาในเรื่องการเรียนรู้โดยเฉพาะการจัดการการเรียนรู้นอกห้องเรียนซึ่งตรงกับนโยบายของทางไทยเบฟ   จึงได้ส่งนิสิตให้มีการลงพื้นที่เรียนรู้จริง เพราะชุมชนมีความจำเป็นและเร่งด่วนเป็นอย่างมาก ชุมชนได้ไอเดีย ได้เรียนรู้การบริหารธุรกิจการตลาด ส่วนนิสิตก็ได้ลงพื้นที่เรียนรู้จริง โดยเป็นสินค้าเดียวกันทั้งหมดคือกล้วย ทั้งสินค้าสด และสินค้าแปรรูปซึ่งเกิดจากสินค้าที่เหลือและตกเกรด ต้องนำมาแปรรูป นำมา Recycle นำมา Reuse ตรงกับ Concept ของความยั่งยืน ตอบโจทย์ทั้งสองฝ่าย

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยมีตัวชี้วัด KPI ที่สามารถสำเร็จได้ในช่วงระยะเวลาไหนอย่างไร ส่วนหลาย KPI ที่ยังไม่สำเร็จเพราะมีระยะเวลา 2-3 เดือนเท่านั้น ก็ให้เขียนโครงการออกมาว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างภายในระยะเวลาเท่าไหร่ หัวข้อนี้ถึงจะประสบความสำเร็จ  โดยทำเป็น Bullet KPI ไว้ให้แก่ชุมชน สิ่งเหล่านี้ที่สำเร็จได้เพราะชุมชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในข้อมูลที่ต้องการ นิสิตนั้นได้รับการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นปรัชญาการเรียนรู้ และไทยเบฟก็ได้ช่วยสังคมและชุมชนให้มีความยั่งยืนขึ้นตามเจตนารมณ์ที่ได้ตั้งไว้

คุณนุกูล นามปราศัย และคุณเบญจรัตน์ นามปราศัย  ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกล้วยหอมทองปทุมรัตน์ ได้กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่นิสิตได้มาทำการศึกษาเรื่องการตลาด การจัดทำแผนธุรกิจ จุดแข็งจุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคในการทำการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องของการตลาด จากเดิมที่เรียนรู้เรื่องของการปลูกกล้วยและแปรรูปแบบธรรมดาโดยไม่ได้ใช้เทคโนโลยีมาร่วม 20 ปี

มีการพัฒนาการแปรรูปกล้วยหอมเพิ่มมากขึ้น 

 

โดยมีหลายหน่วยงานให้ความรู้ความช่วยเหลือในเรื่องของการปลูกและการแปรรูปที่ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น ตลอดจนเรื่องของการปรุงรสที่หลากหลาย แต่เดิมชุมชนมีรายได้เพียง 10000-20000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันสามารถสร้างรายได้มากกว่า 50000 บาทต่อเดือน

 

ต้องขอขอบคุณ โครงการชุมชนดีมีรอยยิ้ม และโครงการ eisa (Education Institute Support Activity) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจจำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ช่วยเพิ่มพัฒนาทักษะอาชีพของคนในชุมชน ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ทำให้เกิดความยั่งยืนของธุรกิจในชุมชน 

 

                                 #######