การทำความเข้าใจเรื่องไสยศาสตร์เป็นกลไกการรับมือ สำหรับความวุ่นวายและความเหงาในโลกสมัยใหม่

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กัญญา วัฒนกุล
ศูนย์ไทยศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญร่วมสำรวจและทำความเข้าใจปรากฏการณ์ “มูเตลู” เรื่องลึกลับและลึกลับที่สะท้อนถึงสภาพสังคม วิถีชีวิต และสภาวะทางอารมณ์ของคนเมืองที่ต้องต่อสู้กับความเหงาและความไม่แน่นอนมากมาย พวกเขาเผชิญในชีวิต
เมื่อพูดถึงแนวคิดเรื่อง " ไสยศาสตร์ " - ศิลปะลึกลับเหนือธรรมชาติ หลายคนอาจมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อันเนื่องมาจาก " ความไม่รู้ " อีกครั้งหนึ่ง ถ้าเรามองไปรอบๆ สื่อและชีวิตของผู้คน เราจะพบว่ามันแพร่หลายมากในสังคมเมืองในปัจจุบัน
บนพื้นที่ขนาดใหญ่ใจกลางเมืองอย่างสี่แยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ ศูนย์กลางการค้าและการช็อปปิ้งทางเศรษฐกิจ เรายังพบศูนย์กลางของวัตถุที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมไปสักการะและขอพรเพื่อความสำเร็จในการงาน โชคลาภ ความรัก และความสัมพันธ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความนิยมของวัตถุมงคลและพระเครื่องได้เพิ่มขึ้นและกำลังขยายตัวอยู่ในขณะนี้ ความรู้ไสยศาสตร์รูปแบบใหม่ๆ เช่น พญานาค ครุฑ ท้าวเวสสุวรรณ พระราหู ตลอดจนอ้ายไข่ และครูไก่แก้ว กำลังแพร่หลายไปทุกที่จนกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคม
ในโซเชียลมีเดีย เราพบเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับไสยศาสตร์และไสยศาสตร์ บางช่องรวบรวมและอัพเดทสิ่งที่เรียกว่า “ กระแสมู ” ในแต่ละปี ปัจจุบันมีแม้กระทั่งเว็บไซต์ที่พาผู้สนใจเดินทางออนไลน์ไปสักการะวัตถุมงคลอันทันสมัยต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับโหราศาสตร์ วิธีแก้ปีมะโรง เครื่องราง หินนำโชค น้ำมันเสริมเสน่ห์ พระทีมฟุตบอลระดับโลก และการนำเสนอข่าวใกล้วันประกาศผลสลากกินแบ่งรัฐบาล เช่น ป้ายทะเบียน จำนวนรถของนายกรัฐมนตรี หรือเหตุการณ์แปลกๆ เช่น ปลาช่อนทอง หรือจอมปลวกที่มีรูปร่างคล้ายพญานาค
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ครอบครองเพียงพื้นที่เล็กๆ ของรูปแบบไสยศาสตร์อันกว้างใหญ่ที่กำลังขยายตัวเมื่อเมืองเติบโตขึ้น
“การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของมนต์ดำในสังคมเมืองเป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามเพื่อตัดสินว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมเมือง อะไรทำให้ผู้คนเข้ามาใกล้และพึ่งพามนต์ดำ? ผู้คนแสวงหาหรือรู้สึกอย่างไรในสังคมนี้” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กัญญา วัฒนกุล ศูนย์ไทยศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดหัวข้อเสวนาเรื่อง “ความสงสัย ความขัดแย้ง การแสวงหา ไสยศาสตร์ในวิถีเมือง” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เกษม เพ็ญปินันท์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พิพัฒน์ กระแจจันทร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังได้ร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งเสริมวิธีการจัดการกับสิ่งเหนือธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตในบริบทของเมือง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เกษม เพ็ญปินันท์
ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“หลายคนอาจคิดว่ามนตร์ดำเป็นเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์และความลึกลับ แต่หากเข้าใจอย่างลึกซึ้งก็ถือเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองที่ผันผวนและเปล่าเปลี่ยว การเข้าใจหน้าที่ของมนตร์ดำจะทำให้เราเข้าใจสภาพจิตใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองได้” ผศ. รศ.ดร.พิพัฒน์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พิพัฒน์ กระแจจันทร์
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในการนี้ ผศ. รศ.ดร.เกษม ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “มนต์ดำไม่ใช่ของโบราณที่ล้าสมัย ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ของมนุษย์ทุกยุคสมัยมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สังคมเผชิญกับความวุ่นวายและความสับสน”
เข้าใจมนต์ดำที่อยู่เหนือความเชื่อโชคลาง
ผศ. ศาสตราจารย์ ดร.พิพัฒน์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า เดิมทีไสยศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อโชคลาง สังคมจึงเข้าสู่ยุคสมัยใหม่และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็แพร่กระจายเข้ามา
“โลกทัศน์ของคนก่อนรัชกาลที่ 4 มิได้มองว่าไสยศาสตร์มีจำกัดเช่นทุกวันนี้ มนต์ดำไม่ได้เกี่ยวข้องกับความลึกลับหรือมนต์ดำ แต่เป็นศาสนาและความเชื่อที่มีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับพลังเหนือธรรมชาติ ปาฏิหาริย์ และเวทมนตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการสวดมนต์และพิธีกรรม นอกจากนี้ไสยศาสตร์ในประเทศไทยยังรวมเอาความเชื่อในท้องถิ่นอีกด้วย”
“ในโลกทัศน์สมัยใหม่ หลักการของการต่อต้านแบบทวิภาคีทำให้วิทยาศาสตร์ตรงกันข้ามกับความเชื่อโชคลาง ไสยศาสตร์กลายเป็นเรื่องไร้เหตุผล ไร้สาระ และไม่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ไสยศาสตร์ยังตรงกันข้ามกับพุทธศาสนาอีกด้วย โดยมนต์ดำหมายถึงผู้หลับใหลหรือความเชื่อที่หลับใหลซึ่งตรงกันข้ามกับศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาแห่งการตื่นรู้”
ส่วนศาสตราจารย์ด้านปรัชญา ผศ. มุมมองของศาสตราจารย์ ดร.เกษม ก็คือ วิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ไม่แตกต่างกันในเรื่องระบบความคิดของมนุษย์
“ไสยศาสตร์เป็นรูปแบบหนึ่งของปัญญา ระบบความคิดและความเชื่อของมนุษย์ที่พยายามสร้างคำอธิบายให้กับสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจ เช่น ฝนหรือฟ้าร้อง ทำให้เราเข้าใจโลกและเข้าใจตัวเอง และตอบคำถามเกี่ยวกับอนาคตที่เราคาดไม่ถึง และสิ่งที่เราไม่คาดคิด อาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ ความเชื่อโชคลางทำให้เราคิดถึงสิ่งเหล่านี้
“ไม่ว่าโลกสมัยใหม่จะผลักดันมนต์ดำให้ตรงกันข้ามกับพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ หน้าที่และความหมายของมนต์ดำในขอบเขตของชีวิตและจิตวิญญาณของมนุษย์ยังคงเหมือนเดิม นอกจากนี้ในบริบทเมืองของโลกปัจจุบันก็มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น” ผศ.ดร. รศ.ดร.เกษม.
“มนต์ดำเป็นระบบความเชื่อของมนุษย์ที่ตอบสนองความต้องการด้านจิตใจและจิตวิญญาณของเรา หน้าที่ของมนต์ดำในสังคมยุคใหม่คือรูปแบบหนึ่งของการฝึกจิตวิญญาณที่ช่วยให้มนุษย์แข็งแกร่งขึ้น มีความหวัง และดำเนินชีวิตต่อไปในโลกแห่งความไม่แน่นอน”
ผศ. รศ.ดร.กัญญา กล่าวเสริมว่า ในโลกยุคใหม่ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจให้คำตอบและสะท้อนความจริงได้มากมาย แต่สิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถแทนที่ในแง่ของมนต์ดำได้คือมิติทางอารมณ์
“แม้ว่ามนุษย์ในปัจจุบันจะมีความรู้และความเข้าใจอย่างมีเหตุผลควบคู่ไปกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความเข้าใจในความเป็นจริง แต่บางครั้ง ความจริงก็ไม่ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของตน เช่น ความโศกเศร้า ความหวัง มนตร์ดำ ถึงแม้จะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม สมเหตุสมผล สบายใจ”
ไสยศาสตร์รวบรวมความรู้สึกร่วมกันของชุมชนในชนบท
มนตร์ดำมีอยู่ทั้งในบริบทในชนบทและในเมือง แต่ตอบสนองและตอบสนองต่อเป้าหมายและความต้องการของผู้คนแตกต่างกัน
ผศ. มุมมองของศาสตราจารย์ ดร.เกษม ก็คือ ในสังคมชนบท มนต์ดำจะทำหน้าที่ส่วนรวม ในขณะที่ในชุมชนเมือง มนต์ดำจะตอบสนองต่อ "ความเป็นปัจเจกบุคคล"
“ ไสยศาสตร์มีบทบาทค่อนข้างสำคัญในสังคมชนบท การปฏิบัติไสยศาสตร์อยู่ในขอบเขตของพิธีกรรมและประเพณีที่เชื่อมโยงกับกลุ่มคนที่มีความเชื่อร่วมกัน ตอบสนองความต้องการความอยู่รอดของชุมชน ในบริบทนี้ พิธีกรรมมีความสำคัญมากกว่าความเชื่อ ในบางความเชื่อคนอาจจะไม่เชื่ออีกต่อไปแล้ว แต่พิธีกรรมยังคงมีอยู่เพื่อเป็นเครื่องมือในการผูกมัดคนในชุมชนไว้ด้วยกัน”
ผศ. ผศ.ดร.เกษม ได้ยกตัวอย่าง “ขบวนแมว” ขอฝน ซึ่งยังคงปฏิบัติกันในหลายพื้นที่จนทุกวันนี้
“ถึงแม้พิธีกรรมนี้จะยังคงอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชุมชนและผู้ที่ทำพิธีกรรมนี้เชื่อว่าเมื่อแมวแห่ไปรอบๆ ฝนจะตก พิธีกรรมนี้ช่วยเฉพาะสภาพจิตใจของชุมชนและให้ความหวัง”
มนต์ดำเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เรารับมือกับโลกที่ปั่นป่วนและจัดการความเสี่ยง
ผศ. ศาสตราจารย์ ดร.เกษม กล่าวถึงยุคในประวัติศาสตร์ปรัชญาที่มีมนต์ดำ ไสยศาสตร์ และความเชื่อเหนือธรรมชาติอยู่มากมาย
“ยุคหลังการล่มสลายของกรุงเอเธนส์และก่อนการสถาปนาจักรวรรดิโรมันถือเป็นยุคที่วุ่นวายและสับสนที่สุด ในเวลานี้ มีระบบเวทย์มนต์หรือความเชื่อเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งหมายความว่าในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายเมื่อชีวิตไม่มั่นคง มนุษย์จะหันไปหาสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามั่นคงที่สุด เป็นหลักการที่ต้องอาศัยการสร้างความมั่นคงในชีวิต”
และพื้นที่ที่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายวุ่นวายมากที่สุดก็คือเขตเมือง!
“มนต์ดำเป็นเครื่องมือในการจัดการความเสี่ยงในชีวิตของคนในสังคมเมือง” ผศ. ผศ.ดร.กัญญา อธิบายถึงความเชื่อมโยงระหว่างความเจริญรุ่งเรืองของไสยศาสตร์กับบริบทของสังคมเมืองที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคง ความไม่แน่นอน ความไม่มั่นคง ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนโอกาสในชีวิต
“ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมในเมือง ความมั่งคั่งกระจุกตัว และความยากจนก็แพร่หลาย โดยมีความเหลื่อมล้ำสูงและช่องว่างทางรายได้ขนาดใหญ่ เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินและความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม หลายๆ คนจึงหันไปพึ่งความเชื่อโชคลาง”
ผศ. ผศ.ดร.กัญญา ยกตัวอย่างคนต่างจังหวัดที่มาทำงานเป็นคนงานก่อสร้างในเมืองและได้รับค่าจ้างรายวัน ชีวิตในบริบทนี้ไม่มั่นคง ไม่แน่นอน และไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง
“รายได้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายวัน และยังไม่ต้องพูดถึงเงินออมเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินด้วย พวกเขาอาจต้องการเงินเพื่อรักษาและดูแลเมื่อป่วยและไม่สามารถไปทำงานได้ ในสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากมาย ไม่มีเงินทุนหรือทรัพยากรที่สามารถช่วยให้คนเหล่านี้รับมือกับเหตุฉุกเฉินในชีวิตได้ ผู้คนจะหันมาแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อสร้างความสงบในใจ”
ไม่เพียงแต่คนงานปกสีน้ำเงินในเมืองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่มีสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่ดูเหมือนมั่นคง (คนงานปกขาว) ยังต้องพึ่งพามนต์ดำอีกด้วย
เสริมทัศนะในเรื่องนี้ ผศ. รศ.นพ.เกษม เล่าว่า “เมื่อก่อนไม่คิดว่าหมอและวิศวกรที่มีอาชีพการงานมั่นคงจะให้ความสำคัญกับการทำนายดวงชะตาหรือเรื่องแบบนี้ แต่ปรากฏว่าพวกเขาจริงจังกับความเชื่อเหล่านี้ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบได้ แม้แต่คนที่มองว่าสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของตนมีเสถียรภาพก็ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ท่ามกลางความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต มีบางสิ่งที่ไม่รู้จัก และมนตร์ดำอาจช่วยให้พวกเขารับมือกับสิ่งที่ไม่รู้และความไม่แน่นอนได้”
ไสยศาสตร์เติมความหวังในโลกทุนนิยม
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านและความไม่แน่นอนของสังคม มิติทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนเข้าสู่แดนมนตร์ดำได้มากที่สุด ผศ. รศ.ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า
“ความเชื่อโชคลางในสังคมเมืองมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการและเป้าหมายของแต่ละบุคคล และเกี่ยวข้องกับประเด็นความมั่งคั่ง ความสำเร็จ ความรัก และความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเมืองในโลกทุนนิยมแสวงหา” ความรู้สึกของการแข่งขันและการสะสมความมั่งคั่งตามระบบทุนนิยมทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง ยิ่งคุณรู้สึกไม่มั่นคงมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งพึ่งพาพลังเหนือธรรมชาติในการให้สิ่งที่คุณปรารถนามากขึ้นเท่านั้น
“ความปรารถนาที่จะมั่งคั่งทำให้เกิดวัตถุศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรม และเครื่องรางใหม่ๆ ที่เชื่อและคาดว่าจะนำมาซึ่งโชคลาภและความสำเร็จทางวัตถุ”
วัตถุมงคลเป็นที่นิยม เช่นเดียวกับการให้เลขสลาก นำเสนอข่าวเกี่ยวกับวัตถุแปลก ๆ และสถานการณ์ที่อาจตีความได้ว่าเป็นตัวเลข และการบูชาเทพเจ้าที่เชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้
“สภาพสังคมแบบไหนที่ทำให้ผู้คนหันไปแสวงหาที่หลบภัยจากสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ แทนที่จะขอความช่วยเหลือจากโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ หรือจากคนในสังคมเอง” ผศ. ศาสตราจารย์ ดร.กัญญา ได้ถามคำถามและเสนอความคิดเห็นนี้ “เป็นเพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่สนับสนุน ไม่มีสวัสดิการที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือผู้คนในยามวิกฤติหรือสังคมที่มีความไม่เท่าเทียมกันต่างๆ ถ้าเราอยากจะรวยเท่ากับคนรวย 10% ของประเทศ ก็ดูจะไม่มีทางอื่นนอกจากต้องถูกลอตเตอรีแล้วล่ะ?”
ไสยศาสตร์เป็นยารักษาความเหงาของชาวเมือง
กรุงเทพมหานครเป็นมหานครที่ผู้คนจากทั่วประเทศและประเทศเพื่อนบ้านแห่กันเข้ามาแสวงหาโอกาสในการทำงาน การอยู่ห่างไกลจากบ้านทำให้ “มนต์ดำ” ทำหน้าที่เป็น “ที่หลบภัยทางอารมณ์” และ “จุดยึด” ในการเอาตัวรอดจากสังคมเมืองที่วุ่นวายที่พวกเขาพบว่าตัวเองอยู่
“แม้ว่าผู้คนจากหลากหลายสถานที่จะอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ แต่เมืองนี้ก็ไม่ได้มีพื้นที่ให้ช่วยรับมือกับความเหงา พวกเขารู้สึกถูกตัดขาดจากชุมชนของตน จากความเชื่อที่ผูกมัดพวกเขากับรากฐานของชีวิตและภูมิหลังทางวัฒนธรรม มนต์ดำจึงเป็นที่พึ่งและให้กำลังใจจิตใจได้” ผศ.ดร. รศ.ดร.พิพัฒน์.
ผศ. ผศ.ดร.พิพัฒน์ กล่าวอีกว่า การขอพรในเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ และครอบครัว ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของชาวเมือง
“ในเมือง ผู้คนสามารถถูกครอบงำด้วยความรู้สึกเหงาและโหยหาคู่ครอง มนต์ดำพยายามที่จะตอบสนองต่อสภาวะทางอารมณ์ที่อ่อนแอนี้”
มูเตลูในโลกสมัยใหม่
เมืองนี้เป็นแหล่งรวมผู้คนและวัฒนธรรมที่หลากหลายซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อใหม่ๆ การปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และวัตถุแห่งความเชื่อ เทพเจ้า เทพธิดา และผีใหม่ๆ มากมายยังคงปรากฏอยู่เรื่อยๆ ทำให้ชาวเมืองสามารถจับจ่ายซื้อของได้ตามสะดวกและปรารถนา มีทั้งเทพเจ้าฮินดู จีน และพุทธ เทพ ผีโบราณ และผีใหม่ๆ ที่หลุดออกมาจากโลกการ์ตูนและวรรณกรรม
“การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและภูมิหลังที่หลากหลายพร้อมกับความเชื่อและการปฏิบัติบางอย่างเมื่อเข้าสู่บริบทของเมืองจะนำไปสู่การประสานความเชื่อและการปฏิบัติใหม่ ๆ ส่งผลให้เกิดความเชื่อหรือการปฏิบัติทางจิตวิญญาณรูปแบบใหม่” ผศ. รศ.ดร.เกษม กล่าวว่า
นอกจากนี้ คนเมืองสมัยใหม่ในประเทศไทยยังนิยมใช้คำว่า “สายมู” ที่มาจากคำว่า “มูเตลู” เรียกความเชื่อโชคลางที่ทำให้ดูทันสมัยมากขึ้น ซึ่งลดระดับความลึกลับหรือความมืดมิดที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดนี้ลง
ทำความเข้าใจกับ Mutelu เพื่อใช้ชีวิตร่วมกับมัน
ไสยศาสตร์มีทั้งผู้ศรัทธาและผู้ที่ไม่เชื่อ แต่ถึงแม้คุณจะไม่เชื่อก็ตาม คำพูดที่ว่า “ไม่เชื่อก็อย่าดูหมิ่น” จะช่วยเปิดพื้นที่ให้ความเชื่อทางไสยศาสตร์และความเชื่อเหนือธรรมชาติสามารถอยู่รอดและขยายตัวในสังคมได้
“คำกล่าวนี้ทำให้หลายคนมีความเชื่อใหม่ๆ เข้ามาสู่จิตสำนึกอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นกระแสสังคมไปโดยปริยาย” ผศ. ผศ.ดร.กัญญา กล่าวว่า
เมื่อมีความขัดแย้งเรื่องความเชื่อในสังคม เช่น การเกิดขึ้นของเทพเจ้า ผี หรือพฤติกรรมใหม่ๆ วลีที่ว่า “ไม่เชื่อก็อย่าดูหมิ่น” ดูเหมือนจะช่วยเปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้ การทดลอง. “ถ้าไม่สร้างความเสียหาย ไม่ขัดต่อกฎหมาย และไร้ศีลธรรม ก็น่าจะลองดู” สิ่งนี้ทำให้ทั้งผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อสามารถอยู่ร่วมกันในพื้นที่แห่งความแตกต่างในความเชื่อได้ “ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์และความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติไม่ได้ไร้เหตุผลเสมอไป แต่สะท้อนโลกทัศน์และความตระหนักรู้ว่ามนุษย์ไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล” ผศ. ผศ.ดร.กัญญา กล่าวว่า
“โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยความผันผวน ความไม่แน่นอน และปัจจัยหลายอย่างที่ซับซ้อนเกินกว่าที่มนุษย์จะควบคุมได้ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการคิดอย่างมีเหตุผลยังไม่เพียงพอ และมักไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเราได้ ผู้คนกำลังมองหาวิธีที่จะตอบสนองความต้องการในการดำรงชีวิตของพวกเขา ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์สามารถเป็นหนึ่งในคำตอบควบคู่ไปกับหลักศาสนาและเหตุผล”
#####