สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ผนึกกำลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ HART

โครงการ สำรวจ และศึกษาสุขภาพ การสูงอายุ และการเกษียณในประเทศ (Health Aging and Retirement in Thailand-HART) แถลงข่าวเปิดตัวโครงการและจัดเสวนา หัวข้อ “วัยที่เปลี่ยนไป....กับบทบาทที่เปลี่ยนแปลง” ด้วยข้อมูลวิจัยจากครัวเรือนเดิมที่เป็นผู้สูงอายุในแต่ละรอบการสำรวจ ที่เก็บต่อเนื่องมาตลอด 12 ปี เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ผู้สูงอายุไทยด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เป็น longitudinal data ถึงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในมิติต่างๆ เพื่อนำไปสู่สังคมสูงอายุของประเทศไทยให้เป็นผู้สูงอายุที่มีพลัง (Active aging) และมีสุขภาพดี (Healthy aging) เป็นที่สังคมที่ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เวลา 10.00 -12.00 น. ณ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โครงการ สำรวจ และศึกษาสุขภาพ การสูงอายุ และการเกษียณในประเทศ (Health Aging and Retirement in Thailand-HART) จัดทำโดยศูนย์วิจัยสังคมผู้สูงอายุ ร่วมกันศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) แถลงข่าวโครงการ HART โดยมี ศ.ดร.ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คุณชลธิชา ขุนทอง ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว) รวมถึงทีมวิจัยโครงการ HART แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ
โครงการ HART เป็นโครงการศึกษาเรื่องราวของคนไทย ตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป จาก 5600 ครัวเรือนทั่วประเทศ ดำเนินการเก็บข้อมูลทุกๆ 2 ปี ซึ่งเป็นโครงการแรกและโครงการเดียวที่เก็บข้อมูลจากตัวอย่างเดิมที่เป็นผู้สูงอายุในแต่ละรอบการสำรวจ (Longitudinal Panel Survey) ตั้งแต่ปี 2557 และปัจจุบัน โครงการ HART เริ่มรอบการสำรวจรอบที่ 5 จากการสำรวจตัวอย่างคนเดิม จะช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนผ่าน และการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงชีวิต โดยเฉพาะในมิติสังคม ตัวตน รายได้ และความพึงพอใจของผู้สูงวัย ซึ่งนำมาสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะของประเทศไทย นอกจากนี้โครงการ HART ยังเป็นเครือข่ายของโครงการ Health and Retirement Study (HRS) – Around the world (HRS-ATW) และเครือข่ายโครงการวิจัยในอาเซียน
โดย รศ. ดร. พาชิตชนิต ศิริพานิช อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ และ ผศ.ดร. ธิฏิรัตน์ พิมลศรี ผู้อำนวยการหลักสูตรมหาบัณฑิตสาขาสถิติประยุกต์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้นำข้อมูลจากโครงการ HART มาศึกษาเรื่อง Factors Influencing Elderly Life Satisfaction in Thailand: A Comprehensive Study on Socio-economic Mental and Physical Health and Social Activity พบว่า ความพึงพอใจในคุณภาพชีวิตในมุมมองของผู้สูงอายุเอง คือ “สุขภาพจิต” และ “ทรัพย์สินที่ถือครอง” ในขณะที่ “รายได้” “สุขภาพกาย” และ “การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม” ส่งผลกระทบทางอ้อมผ่านคะแนนสุขภาพจิต
ขณะที่ ผศ.ดร.ปรีชา วิจิตรธรรมรส ผู้อำนวยการศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ศึกษาเพื่อใช้ในการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพพบว่า เมื่อต้องเข้าสู่สังคมสูงอายุ ภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ดูแลคนทั้งประเทศขึ้นไปถึง 70.71% และเมื่อพิจารณาประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปกับการใช้บริการทางสุขภาพเป็นคนไข้ใน (IPD) พบว่า เมื่ออายุมากขึ้น จำนวนครั้งที่เราต้องเข้าไปใช้บริการ จะสูงขึ้น ซึ่งถ้าเราติดตามผู้สูงอายุกลุ่มนี้ ว่ามีการใช้บริการสูงมากน้อยแค่ไหน ความถี่ที่ต้องเข้าไปใช้บริการเป็นอย่างไร การทราบข้อมูลจะเกิดประโยชน์ต่อการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของภาครัฐซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้
มิติด้านการสูงอายุ AGING สังคมและการเกื้อกูล: เมื่อประชากรสูงวัย...โดดเด่น แต่มีแนวโน้มอยู่อย่าง... โดดเดี่ยว ส่งผลต่อบทบาทผู้สูงอายุในครอบครัว...ลดลง สภาพจิตใจผู้สงอายุ .... เงียบเหงา
รศ.ดร.เดือนเพ็ญ ธีรวรรณวิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พบประเด็น 3 ข้อจากข้อมูล HART คือ ผู้สูงอายุไทยอาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีขนาดเล็กลง บุตรยังเป็นที่พึ่งหลักของบิดามารดา และเกิดรูปแบบใหม่ของการเกื้อกูล/ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรเรียกว่า Distant-supportive (อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ)
ประเด็นแรกด้านผู้สูงอายุไทยอาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีขนาดเล็กลงและอยู่ในครัวเรือนสูงอายุเพิ่มมากขึ้น พบว่า จำนวนสมาชิกในครัวเรือนโดยเฉลี่ย เปรียบเทียบเมื่อปี 2558 3.6 คน ขณะที่เมื่อปี 2565 เหลือ 3.4 คน และการอยู่อาศัยร่วมกันเป็นครัวเรือนใหญ่มีแนวโน้มลดลง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สูงอายุไทยอยู่คนเดียวเพิ่มมากขึ้น โดย ในปี 2558 9.4% และเพิ่มขึ้นในปี 2565 เป็น 12.6% และผู้สูงอายุที่อยู่ด้วยกันตามลำพังในครัวเรือนก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน จาก พ.ศ. 2558 17.7% เพิ่มขึ้นเป็นเป็น 31.4% ใน ปี พ.ศ. 2565 และเมื่อพิจารณาผู้สูงอายุที่มีอายุ มากกว่า 80 ปี ในปี 2565 อยู่คนเดียว 8.9% และอยู่กับผู้ที่ไม่ใช่ครอบครัวหรือญาติ 1.2% ดังนั้น ผู้สูงอายุบทบาทเดิมเป็นเสาหลัก จะเปลี่ยนมาเป็นผู้ที่ทำหน้าที่สนับสนุน
ดังนั้นข้อเสนอนโยบายคือ การจัดระบบเยี่ยมเยียน และการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีปฏิสัมพันธ์ หรือ เรียกว่า One Community One Park เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพจิตที่ดี และการเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
ประเด็นที่สอง ด้าน บุตรยังเป็นที่พึ่งหลักของบิดามารดา โดยการเกื้อกูลระหว่างกันยังคงมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง (จากปีพ.ศ. 2558 95.2% ปี 2565 94.8%) แต่รูปแบบของการเกื้อกูลจะเปลี่ยนไป โดยผู้สูงอายุที่เป็นผู้รับอย่างเดียวจะลดลง (ปี 2558 28.3% ขณะที่ปี 2565 16.5%) แต่ผู้สูงอายุจะมีบทบาทเป็นทั้งรับทั้งให้เพิ่มขึ้น (ปี 2558 64.3% และปี 2565 73.6%) ส่วนจำนวนเงินที่ได้รับจากบุตรลดลง จากปี 2558 ผู้สูงอายุได้รับจากบุตร 24000 บาท ลดลงในปี 2565 10000 บาทต่อปี ดังนั้นจากอดีตบทบาทหลักคือ การเป็นผู้รับจากบุตร เปลี่ยนไปเป็น ผู้ให้และผู้รับ (รวมทั้งหลาน) แต่การให้ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปที่ไม่ใช่ตัวเงิน ดังนั้นข้อเสนอแนคือ ควรปลูกฝังเรื่องความกตัญญู การรู้จักเสียสละ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้กับเด็กรุ่นหลังๆ
ประเด็นสุดท้ายคือ การเกิดรูปแบบใหม่ของการเกื้อกูล/ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรเรียกว่า Distant-supportive ผลการวิจัย ในปี พ.ศ. 2565 การเกื้อกูล/ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรพบรูปแบบใหมคือ อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ หรือ Distant-supportive หมายถึง ที่พักอาศัยของบุตรอยู่ห่างไกลจากบิดามารดา ไม่ค่อยพบปะเห็นหน้ากัน แต่มีการพูดคุยกับบุตรบ่อยๆ โดยใช้ social media ได้รับความช่วยเหลือจากบุตรทั้งในรูปของเงินและไม่ใช่เงิน และมีการให้ความช่วยเหลือที่ไม่ใช่เงินกับบุตรด้วย ดังนั้นนโยบาย ควรส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต สอนให้ผู้สูงอายุรู้จักการใช้ social media พร้อมจัดหา อุปกรณ์ในราคาถูกและให้สามารถเข้าถึง internet ได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ ผศ. ดร. รติพร ถึงฝั่ง อาจารย์ประจำ คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปรียบเทียบข้อมูลด้านความคาดหวังและความพึงพอใจในชีวิต ในปี พ.ศ. 2558 และปี พ.ศ. 2565 พบว่า ผู้สูงอายุมีความคาดหวังในชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น และมีความพึงพอใจในชีวิตสูงขึ้น โดยเฉพาะความพึงพอใจในบุตรและคุณภาพชีวิตโดยรวม และต่ำที่สุดคือ ความพึงพอใจในสภาพเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุมีแนวโน้มพึ่งพาตนเองในการแก้ปัญหาและดูแลจิตใจมากขึ้น
มิติด้านการเกษียณ Retirement
การมีงานทำ: งานมั่นคง = ความมั่นใจ
ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุมีสัดส่วนการทำงานที่ลดลงจากปีที่เริ่มสำรวจในปี 2558 โดยเฉพาะในปีสำรวจ 2560 และ 2563 และสัดส่วนนี้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในปีสำรวจ 2565 (จากร้อยละ 45.05 ในปีฐานเป็น ร้อยละ26.7 ร้อยละ 31.84 และร้อยละ 44.71 ตามลำดับ) สัดส่วนการมีงานทำจะลดลงไปตามอายุที่สูงมากขึ้น และเพศหญิง มีสัดส่วนในการทำงานต่ำกว่าเพศชาย โดยกลุ่มผู้สูงอายุวัยปลาย (อายุ ตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป) ยังมีสัดส่วนการทำงานอยู่ประมาณร้อยละ 3 – 5 การยังคงมีทำงานของกลุ่มผู้สูงอายุวัยปลาย สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการทำงาน ส่วนสาเหตุสำคัญของการออกจากงาน คือ ระบบเกษียณอายุการทำงาน ปัญหาสุขภาพ และภาระการดูแลครอบครัว และอายุเฉลี่ยในการทำงานต่อไปของผู้สูงอายุชายอายุ 60 ปีและมีงานทำอยู่ที่ประมาณ 6 ปี โดยผู้สูงอายุหญิง จะมีอายุการทำงานต่อไปโดยเฉลี่ย อยู่ที่ประมาณ 4 ปี หากนำระดับการศึกษาเข้ามาพิจารณา จะพบว่า หากมีระดับการศึกษาต่ำกว่าระดับมัธยม ผู้สูงอายุผู้ชาย จะมีอายุเฉลี่ยในการทำงานจากอายุ 60 ปี ต่อไปอีก Working life expectancy ที่สามารถขยายต่อไป เป็น Healthy working life expectancy ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะมีประโยชน์ต่อนโยบายการขยายอายุเกษียณต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม หรือ สภาพัฒน์ หรือกรมกิจการผู้สูงอายุ ในการวางแผนการสร้างงานสำหรับประชากรสูงอายุ ในเพิ่มการเข้าใจในชีวิตการทำงานของผู้สูงอายุในการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีพลัง (Active aging)
ข้อเสนอแนะจากผลการเก็บข้อมูลโครงการ HART
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศไทย จากนี้ไปอีกประมาณ 16 ปี (พ.ศ. ปี 2583) สัดส่วนผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% หรือประมาณ 20.5 ล้านคน ดังนั้นผลการเก็บข้อมูลโครงการ HART จะช่วยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะภาครัฐเข้าใจ “ตัวตน” แต่ละช่วงชีวิตของผู้สูงอายุไทย เพื่อกำหนดนโยบายและสวัสดิการที่รองรับชีวิตในวัยสูงอายุ โดยเฉพาะด้านสุขภาพ และด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้สังคมสูงอายุของประเทศไทย เป็นผู้สูงอายุที่มีพลัง (Active aging) และมีสุขภาพดี (Healthy aging) เป็นที่สังคมที่ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด โดยทีมวิจัยโครงการ HART มีข้อเสนอเชิงนโยบายดังนี้
1. ด้านสุขภาพ ควรสร้างสุขภาพกายและใจแก่ผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัว สำหรับสำหรับผู้สูงอายุวัยกลางถึงวัยปลาย: Long-term care นอกจากประเด็นความทั่วถึง/เข้าถึงได้สะดวก ควรเน้นนโยบายและมาตรการด้านสุขภาพทางการเงินและสุขภาพจิตของสมาชิกครอบครัวที่ต้องออกจากงานมาดูแล และนโยบายและมาตรการด้านส่งเสริมการพัฒนาบุคคลากรด้านการดูแลบริบาล และการบริหารจัดการสถานดูแลบริบาลระยะยาว สำหรับผู้สูงอายุวัยต้นและผู้ที่กำลังจะสูงอายุ: Preventive care การสร้างสุขภาพที่ดี ได้แก่ โภชนาการ การออกกำลัง การสร้างเครือข่ายทางสังคม การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี
2. ด้านครอบครัวและการเกื้อกูล ควรสร้างการมีส่วนร่วมในครอบครัวและในชุมชน (สร้างความสัมพันธ์ข้ามรุ่น และสร้างเครือข่ายทางสังคม ได้แก่ นโยบายและมาตรการการอยู่ร่วมกันระหว่างคนต่างวัยในครัวเรือนเดียวกัน การส่งเสริมในสมาชิกครอบครัวอยู่อาศัยด้วยกัน หรือใกล้กัน โดยเฉพาะรุ่นหลาน (ลูกของลูก) และส่งเสริมกิจกรรมทางสังคมด้านจิตอาสา
3. ด้านการมีงามทำสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สำหรับผู้สูงอายุวัยต้นและผู้ที่กำลังจะสูงอายุ ได้แก่ นโยบายและมาตรการการขยายอายุเกษียณงาน นโยบายและมาตรการการจ้างงานผู้สูงอาย นโยบายและมาตรการด้านระบบบำเหน็จบำนาญ นโยบายและมาตรการทางการประกันการดูแลรักษาระยะยาว (Long-term care insurance)
ทั้งนี้ ข้อมูล HART ได้มีการเก็บรวบรวมมาทั้งหมด 4 รอบสำรวจ จัดเก็บไว้ในห้องข้อมูลที่ศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ และเผยแพร่ต่อสาธารณะโดยการลงทะเบียนเพื่อของเข้าใช้ https://hart.nida.ac.th และสามารถติดตามข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ตัวตนผู้สูงอายุได้ที่ www.facebook/hartnida
#####