“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” แนะ “ภาคอสังหาฯ” ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” แนะ “ภาคอสังหาฯ” ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยพิจารณาจากฉลากแสดงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ EPD เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) แนะให้ภาคอสังหาริมทรัพย์พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างวัสดุก่อสร้างที่มีฉลากแสดงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ หรือ วัสดุก่อสร้างที่มี EPD (Environmental Product Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของวัสดุต่างๆ ตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment - LCA) โดยใช้มาตรฐาน ISO 14025 และ EN 15804
ถึงแม้ว่า EPD จะไม่ใช่การรับรองว่าวัสดุนั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่เป็นข้อมูลที่ช่วยให้นักออกแบบ สถาปนิก และเจ้าของโครงการสามารถเปรียบเทียบผลกระทบของวัสดุต่างๆ และเลือกใช้วัสดุที่ยั่งยืนได้อย่างมีข้อมูลรองรับ Carbon Emission หรือ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือ CO₂) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่แสดงผลกระทบของวัสดุที่มีต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ Global Warming Potential (GWP) หรือศักยภาพในการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน
กล่าวโดยสรุปคือ EPD จะระบุค่าการปล่อยคาร์บอนของวัสดุในแต่ละช่วงของวงจรชีวิต ทำให้สามารถวิเคราะห์และเลือกวัสดุที่ช่วยลด Carbon Footprint ได้
EPD กับ Carbon Emission เกี่ยวข้องกันอย่างไร?
EPD ใช้หลักการ Life Cycle Assessment (LCA) วิเคราะห์ผลกระทบของวัสดุใน 6 ช่วงหลัก ได้แก่
1. Raw Material Extraction (A1) – กระบวนการขุดเจาะและสกัดวัตถุดิบ
2. Transport to Factory (A2) – การขนส่งวัตถุดิบไปยังโรงงาน
3. Manufacturing (A3) – กระบวนการผลิตวัสดุ
4. Construction & Installation (A4-A5) – การขนส่งและติดตั้งที่ไซต์งาน
5. Use Phase (B1-B7) – การใช้งานและบำรุงรักษาวัสดุ
6. End-of-Life (C1-C4) – การรื้อถอนและการจัดการขยะวัสดุ
EPD จะระบุค่าการปล่อย CO₂ ในแต่ละเฟส ทำให้สามารถคำนวณ Carbon Emission ของโครงการก่อสร้างได้อย่างแม่นยำ เมื่อมีข้อมูล Carbon Footprint จาก EPD ผู้ออกแบบสามารถเลือกใช้วัสดุที่มีค่าการปล่อย CO₂ ต่ำ สนับสนุนการรับรองอาคารเขียวและนโยบาย Net Zero Carbon โดยในปัจจุบัน EPD เป็นเครื่องมือสำคัญในการลด Carbon Emission ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และสนับสนุนเกณฑ์อาคารยั่งยืนต่างๆ เช่น LEED WELL Building Standard Net Zero Carbon Building Initiative เป็นต้น
ตัวอย่างวัสดุก่อสร้างที่มี EPD และช่วยลด Carbon Emission ได้แก่
1. คอนกรีตคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Concrete) ใช้ปูนซีเมนต์ที่ลด CO₂ (เช่น Portland Limestone Cement PLC) ผสมเถ้าลอย (Fly Ash) หรือตะกรันเตาถลุงเหล็ก (GGBS) แทนปูนซีเมนต์ สามารถช่วยลด Carbon Emission ได้มากถึง 30-50% เมื่อเทียบกับคอนกรีตทั่วไป
2. เหล็กรีไซเคิล (Recycled Steel) หรือผลิตจากเศษเหล็กรีไซเคิลมากกว่า 90% จะช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตได้มากกว่า 75% เมื่อเทียบกับเหล็กที่ผลิตจากแร่เหล็ก
3. ฉนวนกันความร้อนที่มีค่า GWP ต่ำ เช่น การใช้วัสดุเช่น Mineral Wool หรือ Cellulose Insulation แทนโฟมฉนวนที่ใช้สาร CFCs โดยจะลดผลกระทบจาก Carbon Emission ในระยะยาว โดยช่วยประหยัดพลังงานในการทำความร้อน/ความเย็น
4. ไม้ที่ได้รับการรับรอง FSC (FSC-Certified Wood) ซึ่งเป็นวัสดุที่ดูดซับ CO₂ จากชั้นบรรยากาศ หากใช้ Cross Laminated Timber (CLT) ก็สามารถลดการใช้คอนกรีตและเหล็ก ซึ่งเป็นวัสดุที่ปล่อย CO₂ สูง
ดังนั้น EPD จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยวัด Carbon Emission ของวัสดุก่อสร้าง ช่วยให้โครงการได้เลือกใช้วัสดุที่มีค่าการปล่อย CO₂ ต่ำ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการรับรองอาคารเขียว เช่น LEED WELL และ Net Zero Carbon Building ช่วยลดภาระโลกร้อนและทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างก้าวสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
ดังนั้น การเลือกวัสดุก่อสร้างที่มี EPD ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามมาตรฐานเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
#####