เมื่อ : 18 ต.ค. 2568
พาไปรู้จัก ‘Ethical Jewelry’ เทรนด์ใหม่ในวงการเครื่องประดับ ไม่ได้วัดกันที่กะรัต แต่วัดที่ ‘ความโปร่งใส’

ในอดีต “คุณค่า” ของเครื่องประดับมักถูกตัดสินจากมูลค่า น้ำหนักกะรัต ความหายาก และความประณีตสวยงาม แต่ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องจริยธรรมและความยั่งยืนของโลกมากขึ้น ผู้บริโภครุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต ความโปร่งใสทางธุรกิจ ตลอดจนสวัสดิการและค่าแรงที่เป็นธรรม ต่อแรงงาน เพื่อสร้างระบบนิเวศในห่วงโซ่อุปทานให้เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม คุณค่าเหล่านี้ เริ่มได้รับการใส่ใจเดินทางมาถึงในวงการเครื่องประดับ และนำไปสู่เทรนด์ซึ่งถูกเรียกว่า Ethical Jewelry หรือ เครื่องประดับเชิงจริยธรรม ที่กำลังกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในวงการแฟชั่นของโลก พร้อมเปลี่ยนนิยามของคำว่า ‘มูลค่า’ ไปสู่ “ความหรูหราที่ตรวจสอบได้” (traceable luxury)

 

 Ethical Jewelry เมื่อความโปร่งใสมีค่ากว่ากะรัต

เพราะอุตสาหกรรมอัญมณีเป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนและตรวจสอบได้ยากที่สุดในโลก เนื่องจากทำให้เกิด “ต้นทุนที่ซ่อนเร้น” ที่ผู้บริโภคอาจมองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองที่ไม่รับผิดชอบ การเอาเปรียบแรงงาน หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น กรณี blood diamond หรือ “เพชรสีเลือด” ที่ถูกใช้เป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนการทำสงคราม ความโปร่งใส (Transparency) จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของอัญมณี ได้อย่างชัดเจน และมั่นใจว่าสินค้าที่เลือกซื้อไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำลายสิ่งแวดล้อมหรือการละเมิดสิทธิใด ๆ 

 

‘Ethical Jewelry’ จึงเป็นแนวทางใหม่ของอุตสาหกรรม ที่ยึดหลักธรรมาภิบาลในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceable Sourcing) การดูแลแรงงานอย่างเป็นธรรม (Fair Labor Practices) การผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Eco-Conscious Production) ไปจนถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสและรับผิดชอบต่อสังคม (Good Governance) ซึ่งสะท้อนคุณค่าที่ลึกซึ้งกว่าความงามภายนอก

 

อย่างไรก็ตาม การอ้างว่าเป็น ‘Ethical Jewelry’ โดยไม่สามารถแสดงหลักฐานที่ตรวจสอบได้จริง อาจกลายเป็นเพียงการตลาดที่บิดเบือนได้ (Greenwashing) อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับทั่วโลกจึงต้องร่วมกันสร้าง “มาตรฐานกลางด้านความโปร่งใสและการตรวจสอบย้อนกลับ” เพื่อความเชื่อมั่นและความยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยในปัจจุบันมีหลายระดับโลกที่กำหนดเกณฑ์ด้านธรรมาภิบาล จริยธรรม และความยั่งยืน เช่น CIBJO RJC และ GIT Standard เพื่อให้มั่นใจว่าทุกกระบวนการตั้งแต่เหมืองแร่จนถึงกล่องเครื่องประดับ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่เบียดเบียนใคร

แนวคิดนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงอุดมคติอีกต่อไป แต่เป็น “มาตรฐานใหม่ของความงาม” ที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่ม Conscious Consumers ที่เชื่อว่าความงดงามควรมาพร้อมความถูกต้อง 1 จากรายงาน McKinsey ระบุว่า ภายในปี 2025 ปัจจัยด้านจริยธรรมและความยั่งยืนจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องประดับมากถึง 20–30% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคยินดีจ่าย “ราคาพรีเมียม” เพื่อความมั่นใจในความรับผิดชอบของแบรนด์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่แบรนด์ระดับโลกอย่าง Chopard Tiffany & Co. Cartier Pandora Bulgari และ Gucci ต่างประชาสัมพันธ์ว่าจะทำธุรกิจภายใต้มาตรฐานจริยธรรมและความยั่งยืน เพื่อยืนยันว่า “ความสวยงามที่แท้จริง” ไม่ได้วัดจากกะรัตเพียงอย่างเดียว แต่คือความงามที่มาพร้อมความรับผิดชอบ

 

Ethical Jewelry ในประเทศไทย 

 

ในประเทศไทย กระแส Ethical Jewelry เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หลายแบรนด์อัญมณีและดีไซเนอร์รุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบที่มาของวัตถุดิบ การใช้วัสดุรีไซเคิล หรือแม้แต่การเลือกใช้ใบรายงานผลการวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน จาก GIT Standard เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าเครื่องประดับหรือร้านค้าที่ได้รับรองนั้น มีระบบมาตรฐานการตรวจสอบ การมีธรรมาภิบาล และความโปร่งใสในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างแท้จริง 

 

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตและส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับชั้นนำของโลก มีจุดแข็งด้านฝีมือ ความประณีต และดีไซน์ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ อีกทั้งอุตสาหกรรมอัญมณีถือเป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ 2 ด้วยมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับ 3 และมีแรงงานกว่า 1 ล้านคนในภาคการผลิตในยุคที่โลกให้ความสำคัญกับ Traceability และ Ethical Sourcing ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับ “ระบบมาตรฐานธรรมาภิบาลและความโปร่งใส” เพื่อให้ความงามของอัญมณีและเครื่องประดับไทยไม่เพียงโดดเด่นและเชื่อถือในคุณภาพ หากคือการวางรากฐานอนาคต และต่อยอดความเชื่อมันและความเป็นผู้นำของไทยในอุตสาหกรรมอัญมณีระดับโลกอย่างยั่งยืน”

สำหรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานครั้งนี้ GIT ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ให้สามารถยกระดับธุรกิจของตนเองสู่มาตรฐานสากลผ่านโครงการ “GIT Standard” ซึ่งทำหน้าที่เสมือน “แผนที่นำทาง” ในการสร้างระบบธรรมาภิบาลที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การยกระดับห้องปฏิบัติการ การจัดตั้งระบบบริหารภายใน การประเมินและจัดการความเสี่ยง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อทั่วโลก รวมถึงเดินหน้าผลักดันผู้ประกอบการสู่มาตรฐาน Responsible Jewellery Council (RJC) เพื่อยกระดับความยั่งยืนและความเชื่อมั่นให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการ SMEs เข้าร่วมแล้วกว่า 40 ราย สะท้อนถึงความตื่นตัวของอุตสาหกรรมไทยที่พร้อมปรับตัวสู่ยุคใหม่แห่งความโปร่งใสอย่างแท้จริง

 

ความโปร่งใสก็สวมใส่ได้ หากถามว่าแล้วผู้บริโภคอย่างเราจะได้อะไรจากสิ่งนี้? คำตอบที่สำคัญที่สุดคือ ‘ความภาคภูมิใจ’ และ ‘ความสบายใจ’ จากการได้รู้ว่าเครื่องประดับที่สวมใส่อยู่นั้นไม่ได้สร้างขึ้นจากหยาดเหงื่อที่ไม่เป็นธรรม หรือไม่ได้เบียดเบียนทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นคุณค่าทางใจที่ประเมินเป็นตัวเงินไม่ได้ แต่สามารถสะท้อนตัวตนและจุดยืนของผู้สวมใส่ และแน่นอนว่าในอนาคต เครื่องประดับที่มีใบรับรองมาตรฐานที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งที่มาเหล่านี้ ย่อมมี "เรื่องราว" และ "ความน่าเชื่อถือ" ที่โดดเด่นกว่าชิ้นอื่น ๆ 

 

เทรนด์ Ethical Jewelry จึงไม่ได้เป็นเพียงแฟชั่น แต่คือวัฒนธรรมการบริโภคใหม่ที่ทำให้ “ความงาม” มีความหมายมากขึ้น เครื่องประดับในวันนี้จึงเป็นความหรูหราที่ใส่ใจ เป็นประกายที่มีที่มา ต่อจากนี้ก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องประดับ ลองตั้งคำถามเรื่องที่มาของวัตถุดิบ ระบบการผลิตที่โปร่งใส หรือถามหาใบรับรองหรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น GIT Standard หรือ มาตรฐานทางจริยธรรมและความยั่งยืนอื่น ๆ เพราะการเลือกซื้ออย่างมีจริยธรรมไม่เพียงเพิ่มคุณค่าภายนอกให้กับเครื่องประดับ แต่ยังเพิ่ม ‘ความภูมิใจ’ ให้กับผู้สวมใส่ในทุกครั้งที่หยิบมาสวมใส่

 

                                      #####

 

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ