ไบโอเทค-สวทช. จับมือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อวดโฉมพันธุ์ข้าวใหม่รับโลกรวนจากเอลนีโญ พร้อมต่อยอดให้ใช้ประโยชน์สาธารณะ และเชิงพาณิชย์
เมื่อเร็ว ๆ นี้ (18 ก.ย. 66) ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม - ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงาน “NSTDA-KU Rice Field Day 2023” งานแสดงพันธุ์ข้าวใหม่รับโลกรวนจากเอลนีโญ ระหว่างวันที่ 18-19 กันยายน 2566 เพื่อเผยแพร่สายพันธุ์ข้าวที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมวิกฤตที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ องค์ความรู้ด้านข้าว ศักยภาพด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับข้าว และนวัตกรรมปรับปรุงพันธุ์ข้าว พร้อมจัดแสดงพันธุ์ข้าวเพื่ออนาคตรับโลกรวน เช่น ทนร้อน ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ต้านทานโรคและแมลง และมีคุณภาพหุงต้มและโภชนาการตามความต้องการของตลาด เพื่อมุ่งให้เกิดการใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะ เผยแพร่สู่เกษตรกร และต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยมี ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ เกษตรกรและผู้สนใจเข้าร่วมในงาน
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า งาน NSTDA-KU Rice Field Day 2023 เป็นครั้งแรกที่หน่วยงานทั้งสองนำสายพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ที่เกิดจากการพัฒนาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไบโอเทค และหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมการข้าว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแหล่งทุนต่างๆ ทั้งในประเทศ เช่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) และต่างประเทศ เช่น Rockefeller Foundation The Generation Challenge Programme (GCP) มาจัดแสดง รวมทั้งโชว์เทคโนโลยีและนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์พืชสมัยใหม่ สายพันธุ์ข้าวที่จัดแสดงในงานนี้ เป็นพันธุ์ข้าวที่ลดผลกระทบของเอลนีโญ และลานีญา ที่นับจากนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการผลิตข้าวของประเทศ พันธุ์ข้าวเพื่ออนาคตรับโลกรวนนี้ มีคุณสมบัติต้านทานสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ ทนร้อน ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคไหม้ และโรคขอบใบแห้ง ซึ่งพร้อมแล้วที่จะเผยแพร่สู่เกษตรกร และเป็นสายพันธุ์ข้าวศักยภาพสูงที่พร้อมให้หน่วยงานต่างๆ นำไปวิจัยต่อยอด รวมถึงเป็นงานแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาพันธุ์ข้าวและการนำไปใช้ประโยชน์ ได้แก่ การนำเสนอความก้าวหน้าทางจีโนมิกส์ และการให้บริการเชิงวิชาการ ซึ่งเน้นข้าวและพืชสำคัญทางเศรษฐกิจรวมทั้งพืชมูลค่าสูง เทคโนโลยีการประเมินลักษณะอย่างรวดเร็วโดยใช้ภาพถ่ายและระบบดิจิทอล เทคโนโลยีการวินิจฉัยโรคข้าวด้วยภาพถ่าย และการให้บริการประเมินลักษณะ biotic & abiotic stress ซึ่งเป็นการประเมินลักษณะความเครียดของพืชจากสิ่งแวดล้อมสำหรับการปรับปรุงพันธุ์ข้าว เช่น ต้านทานโรคและแมลง ทนร้อน ทนน้ำท่วม เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีการจัดแสดงระบบการคัดเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่ RiceFit การศึกษาการใช้น้ำของข้าวและ greenhouse gas emission ในนาข้าวของประเทศ รวมถึงชีวภัณฑ์ต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ในระบบการผลิตข้าวอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย ทั้งนี้มุ่งหวังให้การจัดงานนี้มีส่วนสนับสนุนการขับเคลื่อนภาคเกษตรของประเทศไทยรองรับ climate change และสังคมผู้สูงอายุ ให้เกิดการปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรของประเทศไทย ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาต่อยอดแบบก้าวกระโดด และนำไปสู่การพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนมากขึ้นต่อไป
สำหรับพันธุ์ข้าวรับโลกรวนที่จัดแสดง ประกอบด้วย พันธุ์ที่มีความต้านทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคไหม้ และต้านทานโรคขอบใบแห้ง เช่น พันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วม / พันธุ์ข้าวหอมนาเล ทนน้ำท่วม ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคขอบใบแห้ง / พันธุ์ข้าวหอมจินดา ต้านทานโรคขอบใบแห้ง / พันธุ์ข้าวธัญญา6401 ต้านทาน เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคขอบใบแห้ง / พันธุ์ข้าวหอมสยาม ทนแล้ง ต้านทานโรคไหม้ / พันธุ์ข้าวหอมสยาม 2 ทนน้ำท่วม เป็นต้น ซึ่งพันธุ์ข้าวเหล่านี้พร้อมแล้วที่จะต่อยอดใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะ เชิงพาณิชย์ และเผยแพร่สู่เกษตรกร นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ข้าวใหม่อื่นๆ ที่พร้อมจะขึ้นทะเบียนพันธุ์ ทั้งข้าวโภชนาการสูง ข้าวหอมพื้นนุ่ม พื้นแข็ง ทั้งต่อช่วงไวแสงและไม่ไวต่อช่วงแสง รวมทั้งข้าวเหนียวอีกด้วย